วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วันที่ฉันป่วย













วันที่ความทรงจำของฉายฉาน เมื่อหลายปีก่อน...ถูกรื้อค้นอีกครั้ง


...ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่คนเราก็มักต้องการให้โมงยามแห่งความสุขหมุนวนไปไม่สิ้นสุด และแม้จะรู้ว่าความฝันที่เฝ้าทนุถนอมเพียรสร้างให้เป็นรูปเป็นร่างจริง อาจพังทลายลงอย่างไม่ทันตั้งตัวในวันใดวันหนึ่ง หลายคนกลับไม่กลัวที่จะฝัน ผมเองก็คนหนึ่ง

คงเพราะมีเธอ ผมจึงไม่กลัว ผมเชื่ออย่างที่เธอบอก ว่าวันใดที่ผมล้ม เธอจะเป็นคนแรกที่มาปลอบโยน และถ้าความผิดหวัง เจ็บปวด ทำให้ผมหลงคิดว่าตัวเองสูญสิ้นทุกสิ่งไป เธอจะช่วยย้ำเตือนว่ายังมีที่แห่งหนึ่งรอให้ผมกลับไปอยู่ทุกเมื่อ เป็นที่ซึ่งทุกคนรักและหวังดีต่อผมอย่างปราศจากเงื่อนไข และจะไม่มีวันทอดทิ้งผม แม้ว่าผมจะจากพวกเขามาไกลและนานเหลือเกินแล้ว…

แต่วันนี้ผมป่วย ประสาทสัมผัสที่ผิวหนังรู้สึกถึงไอร้อนราวไฟสุมอยู่ภายในเนื้อตัวของผม พร้อมกับที่บางเวลากลับเหมือนมีไอเย็นมาจับจนรู้สึกหนาวยะเยือกสลับปะปนกัน ลำคอผมก็แห้งผากและระคายเคืองอย่างกับมีกรวดทรายถูกกลืนกินลงไปค้างคาอยู่ ความอ่อนล้าและเข็ดเมื่อยข่มเปลือกตาผมให้ค่อยๆปิดลงอยู่ตลอดเวลา แต่พิษไข้ก็ยังสร้างภาพหมุนวนใส่สมองผมจนมึนงงและไม่อาจหลับสนิทลงได้

ในเวลาเช่นนี้ผมไม่อยากรับรู้เรื่องราวใด ไม่สนใจว่าแม้หากหลับไปได้จริงแล้วผมจะยังตื่นขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่ แต่ผมก็หนีไม่พ้นกับข่าวร้ายจากชายแดน ข่าวที่เพิ่มความเจ็บปวดจนผมอยากจะหลับลงและไม่ตื่นอีกเลยจริงๆ ผมแอบหวังว่านั่นจะเป็นแค่ฝันร้าย การสู้รบไม่ได้เกิดขึ้นจริงที่ชายแดนรัฐกะเรนนี ไม่มีทหารและครอบครัวของใครต้องหวาดกลัวการเสียคนที่รักไปกับการเข่นฆ่าเพื่อทวงสัญญาใดใดอีก ผมอยากให้เธอมาช่วยปลอบเหลือเกินว่ารายงานข่าววิทยุที่ผมได้ยินนั้นเป็นแค่เพียงฝันร้าย…

แต่ข่าวร้ายนั้นเกิดขึ้นจริง เมื่อข้ามพ้นปีใหม่ได้ไม่นาน กองทัพรัฐบาลพม่าระดมยิงปืนใหญ่ถล่มฐานที่มั่นของกองกำลังเคเอ็นพีพี หรือพรรคก้าวหน้าแห่งชาติกะเรนนี ที่อยู่ห่างชายแดนตรงจังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทยไปไม่มาก และใกล้ๆกันนั้นก็เป็นที่ตั้งค่ายที่มีผู้ลี้ภัยจากรัฐกะเรนนีกว่า 2 หมื่นคนพักพิงอยู่ การสู้รบครั้งใหม่นี้ทำให้ผมนึกถึงแอนโธนี่กับเซบัสเตียนขึ้นมาจับใจ ผมไม่ได้รับข่าวคราวของทั้งคู่อีกเลยหลังจากเราพบกันครั้งสุดท้ายเมื่อสองปีก่อน

เธอคงจำได้ว่าแอนโธนี่เป็นเพื่อนชาวกะเรนนีคนแรกของผม วันนี้ผมรู้เพียงว่าเขา “เข้าไปข้างใน” ซึ่งหมายถึงว่า เขาเดินทางจากค่ายผู้ลี้ภัยในฝั่งไทย ข้ามกลับเข้าไปยังพื้นที่ตอนในของรัฐกะเรนนี เราไม่ได้ร่ำลากัน ผมจึงไม่ทราบแน่ชัดถึงความตั้งใจในการ “เข้าไปข้างใน” ของเขา แต่ก่อนหน้านั้น แอนโธนี่เคยรำพึงกับผมว่าเขาคิดถึงบ้านและคิดถึงแม่ แววตานิ่งสงบลึกของเขาตอนบอกเล่าความรู้สึกนั้น ทำให้ผมพอเข้าใจเหตุผลบางข้อที่วันนี้แอนโธนี่เสี่ยงอันตรายกลับไปยังบ้านที่เขาจากมานาน

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับหนุ่มกะเรนนีคนหนึ่ง ที่เติบโตในค่ายผู้ลี้ภัยฝั่งประเทศไทย จะกลับเข้าไปใช้ชีวิตปกติสุขในบ้านเกิดที่ไฟสงครามยังไม่ดับมอด เช่นรัฐกะเรนนี ที่ซึ่งเผด็จการทหารพม่ายังครองอำนาจ ผู้มุ่งเผด็จศึกทหารกะเรนนีฝ่ายต่อต้านและยังคงเต็มไปด้วยความเคลืบแคลงสงสัยต่อประชาชนพื้นเมือง อันนำไปสู่การข่มขู่ ทรมาน และละเมิดสิทธิเสรีภาพกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วแอนโธนี่จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

เมื่อมีการสู้รบอีกครั้ง กองกำลังเคเอ็นพีพีอาจต้องการทหารอาสาเพิ่มขึ้น ผมกลัวเหลือเกินว่าเซบัสเตียนจะสมัครใจเป็นทหารไปอยู่แนวหน้า เพราะป่านนี้เขาคงเรียนจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนในค่ายผู้ลี้ภัยแล้ว ใจหนึ่ง น้องชายคนนี้อยากเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งผมเห็นว่าเขามีความสามารถจะทำได้ดีเยี่ยม แต่เจ้าตัวก็บอกว่าเขาอยากกลับไปเป็นครูที่หมู่บ้านในรัฐกะเรนนี และในเมื่อยังไม่มีสันติภาพเขาก็ไม่กลัวที่จะเป็นทหาร ผมนับถือน้ำใจเด็กหนุ่มกะเรนนีคนนี้เหลือเกิน แม้ว่าผมไม่อยากให้เขาออกไปเสี่ยงกับกับระเบิดและความโหดร้ายต่างๆนานาในสนามรบก็ตาม จริงๆแล้วย่อมไม่มีใครควรต้องเผชิญความเสี่ยงเช่นนั้น ผมคงอยากให้สันติภาพกำเนิดจากสันติวิธีมากกว่า

ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นเพราะพิษไข้ และแยกไม่ออกระหว่างภาพฝันกับความจริง ผมได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีของข่าวการปรองดองทางการเมืองระหว่างชนชาติต่างๆในพม่า สันติภาพจะเริ่มลงหลักปักฐานถาวรในดินแดนที่สู้รบกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าแห่งนี้ ผู้ลี้ภัยต่างหวนคืนถิ่นฐานอย่างเบิกบานใจ ทุกคนเปี่ยมด้วยความหวังในการรื้อฟื้นวันคืนดีๆของชุมชนที่กลมเกลียว และครอบครัวที่พร้อมหน้า ผมเห็นแอนโธนี่และเซบัสเตียนอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น ทั้งคู่กำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างที่เคยวาดหวังไว้ แอนโธนี่ช่วยแม่ทำนาและมีอู่ซ่อมรถของตัวเอง เซบัสเตียนเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ผมสัมผัสได้ว่าไม่มีใครต้องหวาดกลัวสิ่งใดอีก

เธอกับผมก็อยู่ที่นั่นด้วย เรายืนยิ้มให้กันใต้แสงแดดอุ่นท่ามกลางทิวทัศน์สงบงาม ของชนบทรัฐกะเรนนีแห่งนั้น…

ผมอยากตื่น ตอนนี้ผมไม่อยากหลับตาลงเพื่อจะได้หลับตลอดไปอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว ผมอยากหายจากความป่วยไข้นี้เสียที แววตาอ่อนโยนของเธอที่มีให้เสมอมาทำให้ผมมีแรงใจจะลงมือทำอะไรบางอย่างให้ภาพงดงามนั้น ไม่เป็นเพียงความฝันของคนป่วยอีกต่อไป แววตานั้นบอกว่าผมจะไม่เดียวดาย ผมควรเริ่มทำอะไรบางอย่างได้แล้ว

และวันที่ผมมีโอกาสกลับไปยังบ้านที่จากมานาน ผมคงจะได้แบ่งปันเรื่องราวประทับใจเหมือนฝันแต่เป็นความจริงนั้นแก่ทุกๆคนในครอบครัว ผู้ซึ่งให้ความรักและทำให้ผมรู้ซึ้งว่าความห่วงใยกันนั้นมีค่าเพียงใด